วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

วงมโหรี



                                                                                         วงมโหรี

   

วงมโหรีวงเล็กมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับจากวงมโหรีเครื่องสี่ในสมัยสุโขทัยเป็นมโหรีเครื่องหกในสมัยอยุธยาและสันนิษฐานว่า วงมโหรีวงเล็กน่าจะได้รับการพัฒนาขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยการนำวงปี่พาทย์เครื่องห้ามาประสมกับวงเครื่องสายวงเล็กแล้วนำซอสามสายจากวงมโหรีเครื่องหก ในสมัยอยุธยาเพิ่มเข้าไป จึงกลายเป็นวงมโหรีวงเล็กอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้เครื่องดนตรีที่ประสมอยู่ในวงมโหรีวงเล็ก ประกอบด้วย

1. ซอสามสาย 1 คัน ทำหน้าที่คลอเสียงผู้ขับร้อง และบรรเลงดำเนินทำนองร่วมในวง

2. ซอด้วง 1 คัน ดำเนินทำนองโดยเก็บบ้าง หวานบ้าง

3. ซออู้ 1 คัน ดำเนินทำนองเป็นเชิงหยอกล้อยั่วเย้าไปกับทำนองเพลง

4. จะเข้ 1 ตัว ดำเนินทำนองโดยเก็บบ้าง รัวบ้าง และเว้นห่างบ้าง

5. ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ดำเนินทำนองเก็บบ้าง โหยหวนบ้าง

6. ระนาดเอก 1 ราง ดำเนินทำนองเก็บบ้าง กรอบ้าง ทำหน้าที่เป็นผู้นำวง

7. ฆ้องวง (เรียกว่า ฆ้องกลางหรือฆ้องมโหรี) 1 วง ดำเนินทำนองเนื้อเพลงเป็นหลักของวง

8. โทน 1 ลูก รำมะนา 1 ลูก ตีสอดสลับกัน ควบคุมจังหวะหน้าทับ

9. ฉิ่ง 1 คู่ ควบคุมจังหวะย่อย แบ่งให้รู้จังหวะหนักเบา



วงมโหรีเครื่องคู่ เกิดจากการนำวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มาบรรเลงรวมกับวงเครื่องสายเครื่องคู่ ซึ่งตามประวัติวงปี่พาทย์เครื่องคู่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ดังนั้นวงมโหรีเครื่องคู่จึงน่าจะเกิดขึ้นในสมัยนี้เช่นเดียวกัน เครื่องดนตรีที่ประสมอยู่ในวงมโหรีเครื่องคู่ ประกอบด้วย

  • ซอสามสาย 1 คัน หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ซอสามสายหลีบ 1 คัน บรรเลงร่วมกับเครื่องดำเนินทำนองอื่น ๆ
  • ซอด้วง 2 คัน หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ซออู้ 2 คัน หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • จะเข้ 2 ตัว หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ขลุ่ยหลีบ 1 เลา ดำเนินทำนองเก็บบ้าง โหยหวนบ้าง สอดแทรกทำนองเล่นล้อไปทางเสียงสูง
  • ระนาดเอก 1 ราง หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ระนาดทุ้ม 1 ราง ดำเนินทำนองเป็นเชิงหยอกล้อยั่วเย้าให้เกิดอารมณ์ครึกครื้น
  • ฆ้องวง 1 วง หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ฆ้องวงเล็ก 1 วง ดำเนินทำนองเก็บถี่ ๆ บ้าง สะบัดบ้าง สอดแทรกทำนองไปทางเสียงสูง
  • โทน 1 ลูก รำมะนา 1 ลูก หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ฉิ่ง 1 คู่ หน้าที่เหมือนในวงมโหรีเครื่องเดี่ยว
  • ฉาบเล็ก 1 คู่


วงมโหรีเครื่องใหญ่





           ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับระนาดเอกเหล็กขึ้นอีก ๒ ราง กลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ มโหรีจึงเลียนแบบ โดยเพิ่มระนาดทุ้มเหล็กขึ้นบ้าง ส่วนระนาดเอกเหล็กนั้นเปลี่ยนเป็นสร้างลูกระนาดด้วยทองเหลือง เพราะเทียบให้เสียงสูงไพเราะกว่าเหล็ก เรียกว่าระนาดทอง รวมทั้งวงเรียกว่าวงมโหรีเครื่องใหญ่ ซึ่งได้ถือเป็นแบบปฏิบัติใช้บรรเลงมาจนปัจจุบันนี้  บรรดาเครื่องดนตรีต่างๆ ที่วงมโหรีได้เลียนแบบมาจากวงปี่พาทย์ คือ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก (เป็นระนาดทอง) ระนาดทุ้มเหล็ก (บางวงทำด้วยทองเหลือง เรียกว่า ระนาดทุ้มทองก็มี) ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็กนั้น ทุกสิ่งจะต้องย่อขนาดลดลงให้เล็กเพราะสมัยโบราณผู้บรรเลงมโหรีมีแต่สตรีทั้งนั้น จึงต้องลดขนาดลงให้พอเหมาะแก่กำลัง อีกประการหนึ่งการลดขนาดเครื่องตีเหล่านี้ลงก็เพื่อให้เสียงดังสมดุลกับเครื่องดนตรีประเภทดีด สี มิฉะนั้นเสียงจะกลบพวกเครื่องสายหมด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น