แบบทดสอบก่อนเรียน
https://docs.google.com/forms/d/1swqmFNxFKMx6ePX6Sk9VNcaM-L89cq950ceeSoBuYhc/edit
วงปี่พาทย์
วงดนตรีไทยประเภทหนึ่งซึ่งประกอบด้วยเครื่องเป่า คือ ปี่ ผสมกับเครื่องตี ได้แก่ระนาดและฆ้องวงชนิดต่าง ๆ เป็นหลัก และยังมีเครื่องกำกับจังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ตะโพน กลองทัด กลองแขก และกลองสองหน้า ปี่พาทย์นี้บางสมัยเรียกว่า "พิณพาทย์" วงปี่พาทย์อาจจำแนกประเภทแตกต่างกันไปแต่ที่พอจะรวบรวมได้
มีทั้งสิ้น 7 แบบ
วงปี่พาทย์ชาตรี เป็นวงที่บรรเลงประกอบการแสดงโนรา หนังตะลุง และละครชาตรีเครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ปี่นอก
2.โทน 1 คู่
3.กลองชาตรี 1 คู่
4.ฆ้องคู่ 1 ราง
5.กรับ
6.ฉิ่ง
วงปี่พาทย์ไม้แข็งเป็นวงที่ใช้สำหรับประกอบการแสดงและประ โคมทั่วไปมี 3 ขนาดคือ 2.1 วงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ปี่ใน 2.ระนาดเอก 3.ฆ้องวงใหญ 4.ตะโพน 5.กลองทัด 6.ฉิ่ง
2.2 วงปี่พาทย์เครื่องคู่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลง ประกอบด้วย 1.ปี่ใน 2.ปี่นอก (ปัจจุบันไม่ค่อยได้ใช้) 3.ระนาดเอก 4.ระนาดทุ้มไม้ 5.ฆ้องวงใหญ่ 6.ฆ้องวงเล็ก 7.ตะโพน 8.กลองทัด 9.ฉิ่ 10.ฉาบ 11.โหม่ง | |
|
2.3 วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1. ปี่ใน 2.ปี่นอก (ปัจจุบันไม่ค่อยได้ใช้) 3.ระนาดเอก 4.ระนาดทุ้มไม้ 5.ระนาดเอกเหล็ก 6.ระนาดทุ้มเหล็ก 7. ฆ้องวงใหญ่ 8.ฆ้องวงเล็ก 9.ตะโพน 10.กลองทัด 11.ฉิ่ง 12.ฉาบ 13.โหม่ง
|
3. วงปี่พาทย์ไม้นวม
มีเครื่องดนตรีในวงบรรเลงและขนาดเหมือนวงปี่พาทย์ไม้แข็งทุกอย่าง แต่มีความแตกต่างกันที่ วงปี่พาทย์ไม้แข็งใช้ไม้ตีที่ทำด้วยเชือกแล้วชุบรักเวลาตีลงบนผืนระนาดแล้วเสียงจะกร้าวแกล้ง แต่วงปี่พาทย์ไม้นวมจะใช้ไม้ระนาดที่พันด้วยผ้าและเชือก ตีลงบนผืนระนาดแล้วมีเสียงนุ่มนวล และในวงปี่พาทย์ไม้นวมนี้ ใช้ขลุ่ยเพียงออ แทนปี่ รวมทั้งใช้ซออู้เข้ามาผสมอยู่ในวงด้วย การบรรเลงจะมีลักษณะแตกต่างกับวงปี่พาทย์ไม้แข็ง โดยเฉพาะเสียงที่ใช้บรรเลงจะต่ำกว่าเสียงของวงปี่พาทย์ไม้แข็ง 1 เสียง
3.1 วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องห้า เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ขลุ่ยเพียงออ
2.ระนาดเอก
3.ฆ้องวงใหญ่
4.ซออู้
5.ตะโพน กลองทัด (ปรับใช้กลองแขกในบางครั้ง)
6.กลองแขก
7.ฉิ่ง
3.2 วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องคู่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ขลุ่ยเพียงออ
2.ระนาดเอก 3.ระนาดทุ้มไม้
4.ฆ้องวงใหญ่ 5.ฆ้องวงเล็ก
6.ซออู้
7.ตะโพน
8.ตะโพน กลองทัด (ปรับใช้กลองแขกในบางครั้ง)
9.ฉิ่ง
10.ฉาบ
11.โหม่ง
3.3 วงปี่พาทย์ไม้นวมเครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ขลุ่ยเพียงออ
2.ระนาดเอก 3.ระนาดทุ้มไม้
4.ฆ้องวงใหญ่ 5.ฆ้องวงเล็ก
6.ระนาดเอกเหล็ก 7.ระนาดทุ้มเหล็ก
8.ซออู้
9.ตะโพน
10.กลองทัด (ปรับใช้กลองแขกในบางครั้ง)
11.ฉิ่ง
12.ฉาบ
13.โหม่ง
4. วงปี่พาทย์เสภา
มีเครื่องดนตรีและขนาดของวงเหมือนวงปี่พาทย์ไม้แข็งทุกอย่าง แต่นำตะโพน – กลองทัดออกใช้กลองสองหน้าแทน แต่โบราณใช้บรรเลงประกอบการขับเสภาที่เป็นเรื่องเป็นตอน มีระเบียบของการบรรเลงโดยเริ่มจาก โหมโรงเสภา และมีการขับร้องรับปี่พาทย์ด้วยเพลงพม่าห้าท่อน เพลงจระเข้หางยาว เพลงสี่บท และเพลงบุหลัน เรียงลำดับกันไป ต่อจากนั้นจะเป็นเพลงอื่นใดก็ได้ วงปี่พาทย์เสภานี้เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2
5. วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์เป็นวงดนตรีที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวม และไม่ใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงเล็กแหลม เช่น นำเอาฆ้องวงเล็ก และระนาดเอกเหล็ก ออกไป ใช้ขลุ่ยเพียงออแทนปี่ และยังมีขลุ่ยอู้เพิ่มขึ้น 1 เลา ใช้กลองตะโพนแทนกลองทัด และเพิ่มซออู้ กรับพวงเข้ามาร่วมบรรเลงด้วย สัญลักษณ์ที่โดดเด่น เห็นชัดเจนสำหรับเครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่ง ก็คือ ฆ้องหุ่ย 7 ใบ 7 เสียง
วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์นี้ใช้สำหรับบรรเลงประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์เท่านั้น
เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย
1.ระนาดเอก (ใช้ไม้นวม) 2. ระนาดทุ้มไม้
3.ระนาดทุ้มเหล็ก
4.ฆ้องวงใหญ่
5.ขลุ่ยเพียงออ 6.ขลุ่ยอู้
7. ซออู้
8.ฆ้องหุ่ย 7 ใบ 7 เสียง
9. ตะโพน
10.กลองตะโพน
11.กลองแขก
12.ฉิ่ง
13.กรับพวง
6. วงปี่พาทย์นางหงส์
เป็นวงดนตรีที่ใช้ในงานอวมงคล(งานศพ) มีเครื่องดนตรีในวงเหมือนกับวงปี่พาทย์ไม้แข็งเพียงแต่เปลี่ยนมาใช้ปี่ชวาแทนปี่ใน ใช้กลองมลายู 1 คู่ เข้ามาร่วมบรรเลงด้วย เครื่องดนตรีในวงบรรเลงแบ่งได้ 3 ขนาด ดังนี้
6.1 วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องห้า เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย 1.ปี่ชวา 2.ระนาดเอก 3.ฆ้องวงใหญ่ 4.ฆ้องวงเล็ก 5.กลองมลายู 6.ฉิ่ง
6.2 วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องคู่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย 1. ปี่ชวา 2. ระนาดเอก 3 ระนาดทุ้ม 4. ฆ้องวงใหญ่ 5. ฆ้องวงเล็ก 6.กลองมลายู 7. ฉาบเล็ก 8. ฉิ่ง 9.โหม่ง 10.ฉาบใหญ่ | |
6.3 วงปี่พาทย์นางหงส์เครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย 1ปี่ชวา 2.ระนาดเอก 3.ระนาดทุ้ม 4.ระนาดเอกเหล็ก 5.ระนาดทุ้มเหล็ก 6.ฆ้องวงใหญ่ 7.ฆ้องวงเล็ก 8.กลองมลายู, 9.ฉาบเล็ก 10.ฉาบใหญ่ 11.ฉิ่ง 12.โหม่ง |
7. วงปี่พาทย์มอญ
เป็นวงดนตรีที่ชาวมอญนำเครื่องดนตรีเข้ามา พร้อมกับการย้ายถิ่นฐานบ้านเรือน ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นวงปี่พาทย์มอญ โดยใช้หลักกของวงปี่พาทย์ไม้แข็งเป็นหลัก แต่ใช้เครื่องดนตรีของมอญตั้งอยู่ด้านหน้าของวง เช่น ฆ้องมอญ ปี่มอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก ด้านหลังจะเป็นระนาดเอก ระนาดทุ้มดนตชิ้นอื่น ๆ ของวงปี่พาทย์(ไทย) เมื่อตั้งวงดนตรีแล้วจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน โอกาสที่ใช้ชาวมอญจะใช้บรรเลงทั้งงานมงคลและงานอวมงคล สำหรับชาวไทยจะใช้บรรเลงเฉพาะงานวมงคลเท่านั้น เครื่องดนตรีในวงบรรเลงของวงปี่พาทย์ แบ่งเป็น 3 ขนาด ดังนี้ |
7.1 ปี่พาทย์มอญเครื่องห้า เครื่องดนตรีในวงบรรเลง ประกอบด้วย
1. ฆ้องมอญวงใหญ่ 2. ระนาดเอก 3. ปี่มอญ 4 ตะโพนมอญ 5. เปิงมางคอก 6. ฉิ่ง
7.2 ปี่พาทย์มอญเครื่องคู่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย 1. ฆ้องมอญวงใหญ่ 2.ฆ้องมอญวงเล็ก 3. ระนาดเอก 4.ระนาดทุ้ม 5. ปี่มอญ 6. ตะโพนมอญ 7. เปิงมางคอก 8. โหม่ง 3 ลูก 9.ฉิ่ง 10. ฉาบเล็ก 11.ฉาบใหญ่ 12.กรับ
7.3 ปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีในวงบรรเลงประกอบด้วย 1.ฆ้องมอญวงใหญ่ 2.ฆ้องมอญวงเล็ก 3.ระนาดเอก 4.ระนาดทุ้มไม้ 5.ระนาดเอกเหล็ก 6.ระนาดทุ้มเหล็ก 7.ปี่มอญ 8.ตะโพนมอญ, 9. เปิงมางคอก 10.โหม่ง 3 ลูก 11.ฉิ่ง 12.ฉาบเล็ก 13.ฉาบใหญ่ 14.กรับ |
|
วงเครื่องสาย
คือ วงดนตรีไทยอีกประเภทซึ่งเครื่องดนตรีส่วนใหญ่ในวงจะประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่ใช้สายเป็นต้นกำเนินของเสียงดนตรี เช่น ซอด้วง ซออู้ จะเข้ แม้ว่าเครื่องดนตรีที่นำมาบรรเลงนั้นจะมีวิธีบรรเลงแตกต่างกัน เช่น สี ดีด หรือตี ก็ตาม จึงเรียกวงดนตรีประเภทนี้ว่า "วงเครื่องสาย" วงเครื่องสายอาจมีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า เช่น ขลุ่ย หรือเครื่องกำกับจังหวะ เช่น ฉิ่ง กลองบรรเลงด้วยก็ถือว่าอยู่ในวงเครื่องสายเช่นกันเพราะมีเป็นจำนวนน้อยที่นำเข้ามาร่วมบรรเลงด้วยเพื่อช่วยเพิ่มรสในการบรรเลงด้วยเพื่อช่วยเพิ่มรสในการบรรเลงให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น วงเครื่องสายเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา ซึ่งมีเครื่องสี คือ ซอ เครื่องดีด คือ จะเข้ และ
กระจับปี่ ผสมในวง ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ
วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว
1. วงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยว เป็นวงเครื่องสายที่มีเครื่องดนตรีผสมเพียงอย่างละ 1 ชิ้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวงเครื่องสายไทยวงเล็ก เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญและถือเป็นหลักของวงเครื่องสายไทยที่จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดเสียมิได้ เพราะแต่ละสิ่งล้วนดำเนินทำนองและมีหน้าที่ต่าง ๆ กัน เมื่อผสมเป็นวงขึ้นแล้ว เสียงและหน้าที่ของเครื่องดนตรีแต่ละอย่างก็จะประสมประสานกันเป็นอันดี เครื่องดนตรีที่ผสมอยู่ในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวซึ่งถือเป็นหลักคือ
1. ซอด้วง เป็นเครื่องสีที่มีระดับเสียงสูงและกระแสเสียงดัง มีหน้าที่ดำเนินทำนองเพลง เป็นผู้นำวง และเป็นหลักในการดำเนินทำนอง
2. ซออู้ เป็นเครื่องสีที่มีระดับเสียงทุ้ม มีหน้าที่ดำเนินทำนองหยอกล้อ ยั่วเย้ากระตุ้นให้เกิดความครึกครื้นสนุกสนานในจำพวกดำเนินทำนองเพลง
3. จะเข้ เป็นเครื่องดีดดำเนินทำนองเพลงเช่นเดียวกับซอด้วง แต่มีวิธีการบรรเลงแตกต่างออกไป
4. ขลุ่ยเพียงออซึ่งเป็นขลุ่ยขนาดกลาง เป็นเครื่องเป่าดำเนินทำนองโดยสอดแทรกด้วยเสียงโหยหวนบ้าง เก็บบ้าง ตามโอกาส
5. โทนและรำมะนา เป็นเครื่องตีที่ขึงหนังหน้าเดียว และทั้ง 2 อย่างจะต้องตีให้สอดสลับรับกันสนิทสนมผสมกลมกลืนเป็นทำนองเดียวกัน มีหน้าที่ควบคุมจังหวะหน้าทับ บอกรสและสำเนียงเพลงในภาษาต่าง ๆ และกระตุ้นเร่งเร้าให้เกิดความสนุกสนาน
6. ฉิ่ง เป็นเครื่องตรี มีหน้าที่ควบคุมจังหวะย่อยให้การบรรเลงดำเนินจังหวะไปโดยสม่ำเสมอ หรือช้าเร็วตามความเหมาะสมเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวอาจเพิ่มเครื่องที่จะทำให้เกิดความไพเราะเหมาะสมได้อีก เช่น กรับและฉาบเล็กสำหรับตีหยอกล้อยั่วเย้าในจำพวกกำกับจังหวะโหม่งสำหรับช่วยควบคุมจังหวะใหญ่
วงเครื่องสายเครื่องคู่
2.วงเครื่องสายเครื่องคู่ คำว่า เครื่องคู่ ย่อมมีความหมายชัดเจนแล้วว่าเป็นอย่างละ 2 ชิ้น แต่สำหรับการผสมวงดนตรีจะต้องพิจารณาใคร่ครวญถึงเสียงของเครื่องดนตรีที่จะผสมกันนั้นว่าจะบังเกิดความไพเราะหรือไม่อีกด้วย เพราะฉะนั้นวงเครื่องสายไทยเครื่องคู่จึงเพิ่มเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยวขึ้นเป็น 2 ชิ้น แต่เพียงบางชนิด คือ 1. ซอด้วง 2 คัน แต่ทำหน้าที่ผู้นำวงเพียงคันเดียว อีกคันหนึ่งเป็นเพียงผู้ช่วย
2. ซออู้ 2 คัน ถ้าสีเหมือนกันได้ก็ให้ดำเนินทำนองอย่างเดียวกัน แต่ถ้าสีเหมือนกันไม่ได้ก็ให้คันหนึ่งหยอกล้อห่าง ๆ อีกคันหนึ่งหยอกล้อยั่วเย้าอย่างถี่หรือจะผลัดกันเป็นบางวรรคบางตอนก็ได้
3. จะเข้ 2 ตัว ดำเนินทำนองแบบเดียวกัน
4. ขลุ่ย 2 เลา เลาหนึ่งเป็นขลุ่ยเพียงอออย่างในวงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยว ส่วนเลาที่เพิ่มขึ้นเป็นขลุ่ยหลีบซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขลุ่ยเพียงออ และมีเสียงสูงกว่าขลุ่ยเพียงออ 3 เสียงมีหน้าที่ดำเนินทำนองหลบหลีกปลีกทางออกไป ซึ่งเป็นการยั่วเย้าไปในกระบวนเสียงสูง
สำหรับโทน รำมะนา และฉิ่ง ไม่เพิ่มจำนวน ส่วนฉาบเล็กและโหม่ง ถ้าจะใช้ก็คงมีจำนวนอย่างละ 1 ชิ้นเท่าเดิม ตั้งแต่โบราณมา วงเครื่องสายไทยมีอย่างมากก็เพียงเครื่องคู่ดังกล่าวแล้วเท่านั้น ในสมัยหลังได้มีผู้คิดผสมวงเป็น วงเครื่องสายไทยวงใหญ่ ขึ้น โดยเพิ่มเครื่องบรรเลงจำพวกดำเนินทำนอง เช่น ซอด้วง ซออู้และขลุ่ย ขึ้นเป็นอย่างละ 3 ชิ้นบ้าง 4 ชิ้นบ้าง การจะผสมเครื่องดนตรีชนิดใดเข้ามาในวงนั้นย่อมกระทำได้ ถ้าหากเครื่องดนตรีนั้นมีเสียงเหมาะสมกลมกลืนกับเครื่องอื่น ๆ แต่จะเพิ่มเติมในส่วนเครื่องกำกับจังหวะ เช่น โทน รำมะนา ฉิ่งฉาบ และโหม่ง ไม่ได้ ได้แต่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไป เช่น ใช้กลองแขกแทนโทนรำมะนา
วงเครื่องสายผสม
3. วงเครื่องสายผสมเป็นวงเครื่องสายที่นำเอาเครื่องดนตรีต่างชาติเข้ามาร่วมบรรเลงกับเครื่องสายไทย การเรียกชื่อวงเครื่องสายผสมนั้นนิยมเรียกตามชื่อของเครื่องดนตรีต่างชาติที่นำเข้ามาร่วมบรรเลงในวง เช่น นำเอาขิมมาร่วมบรรเลงกับ ซอด้วง ซออู้ ขลุ่ยและเครื่องกำกับจังหวะต่าง ๆ แทนจะเข้ ก็เรียกว่า "วงเครื่องสายผสมขิม" หรือนำเอาออร์แกนหรือไวโอลินมาร่วมบรรเลงด้วยก็เรียกว่า "วงเครื่องสายผสมออร์แกน" หรือ "วงเครื่องสายผสมไวโอลิน" เครื่องดนตรีต่างชาติที่นิยมนำมาบรรเลงเป็นวงเครื่องสายผสมนั้นมีมากมายหลายชนิด เช่น ขิม ไวโอลิน ออร์แกน เปียโน แอกคอร์เดียน กู่เจิง เป็นต้น
วงเครื่องสายปี่ชวา
4. วงเครื่องสายปี่ชวา เป็นวงเครื่องสายไทยทั้งวงบรรเลงประสมกับวงกลองแขก โดยไม่ใช้โทนและรำมะนา และใช้ขลุ่ยหลีบแทนขลุ่ยเพียงออกเพื่อให้เสียงเข้ากับปี่ชวาได้ดี เดิมเรียกว่า วงกลองแขกเครื่องใหญ่ วงเครื่องสายปี่ชวาเกิดขึ้นในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวการบรรเลงเครื่องสายปี่ชวานั้น นักดนตรีจะต้องมีไหวพริบและความเชี่ยวชาญในการบรรเลงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะฉิ่งกำกับจังหวะจะต้องเป็นคนที่มีสมาธิดีที่สุดจึงจะบรรเลงได้อย่างไพเราะ เพลงที่วงเครื่องสายปี่ชวานิยมใช้บรรเลงเป็นเพลงโหมโรง ได้แก่ เพลงเรื่องชมสมุทร เพลงโฉลก เพลงเกาะ เพลงระกำ เพลงสะระหม่าแล้วออกเพลงแปลง เพลงออกภาษา แล้วกลับมาออกเพลงแปลงอีกครั้งหนึ่ง
วงมโหรี
วงมโหรี เป็นวงดนตรีไทยที่มีวิวัฒนาการสืบเนื่องมาอย่างยาวนาน จัดเป็นการประสมวงที่มีความสมบูรณ์ในด้านเสียงสูงสุด กล่าวคือ เป็นการรวมเอาเครื่องดนตรีทำทำนองของวงปี่พาทย์ที่มีเครื่องตี คือ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ร่วมกับเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายที่มีเครื่องดีด คือ จะเข้ เครื่องสี คือ ซอด้วง และซออู้ และเครื่องเป่าคือ ขลุ่ย เอาไว้ด้วยกัน การนำเอาวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายมารวมกันนี้ ทำให้วงมโหรีเป็นการรวมกันของเครื่องดนตรีทุกตระกูล คือ ดีด สี ตี และเป่า มารวมอยู่ในวงเดียวกันได้อย่างลงตัว ละเอียดอ่อน และละเมียดละไม มีแนวทางการบรรเลงที่นุ่มนวล ไพเราะ นิยมใช้บรรเลงในพิธีการที่ศักดิ์สิทธิและเป็นมงคลต่างๆ
วงมโหรี อาจารย์ณรงค์ เขียนทองกุล กล่าวถึงวงมโหรีไว้ใน “เกร็ดความรู้ว่าด้วยเรื่องมโหรี” ว่า “ มโหรีสงสัยว่าเป็นศัพท์คำเดียวกับคำว่ามโหระทึก ”
ครูมนตรี ตราโมท ได้กล่าวถึงเรื่องราวความเป็นมาของวงมโหรีไว้ใน “หนังสือดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาการ” ว่า “...เครื่องดีดสีของไทยโบราณมีอยู่ ๒อย่าง คือ “บรรเลงพิณ” อย่างหนึ่ง กับ “ขับไม้” อย่างหนึ่ง “การบรรเลงพิณ”นั้นใช้แต่พิณน้ำเต้า (สายเดียว) สิ่งหนึ่ง ผู้ที่ดีดพิณเป็นผู้ขับร้องเอง (การบรรเลงพิณนี้ตามหลักการประสมวงไม่ถือว่าเป็นวงดนตรี แต่อนุโลมว่าเป็นการบรรเลงแบบโบราณที่เป็นต้นแบบการบรรเลงในรูปแบบอื่นๆในเวลาต่อมา) ส่วน “ขับไม้” นั้นมีคนขับลำนำ ๑ คน สีซอสามสาย ๑ คน กับไกวบัณเฑาะว์อีกคน ๑ (การขับไม้ใช้บรรเลงประกอบพิธีสำคัญเช่นพระราชพิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตร หรือพระราชพิธีสมโภชช้างเผือกเป็นต้น)ในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เอาบรรเลงพิณกับขับไม้นี้มารวมกันและเปลี่ยนแปลงขยายวงขึ้นเรียกว่า “มโหรี” โดยมีผู้บรรเลงเพียง ๔ คน คือ คนขับร้องลำนำและตีกรับพวงให้จังหวะเอง ๑ สีซอสามสาย ๑ ดีดกระจับปี่ (แทนพิณน้ำเต้า) ๑ กับตีทับประกอบจังหวะ ๑และสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานีนี่เอง ก็ได้เพิ่ม “ขลุ่ย” สำหรับเป่าลำนำ กับรำมะนาประกอบจังหวะเป็นคู่กับ “ทับ” ขึ้นอีก ต่อมาในปลายสมัยอยุธยาได้เพิ่ม “ฉิ่ง” เข้าอีกอย่างหนึ่ง (เข้าใจว่าให้คนขับร้องลำนำตี และเลิกกรับพวง เพราะในสมัยกรุงธนบุรีก็ปรากฏว่ามโหรีมี ๖ คน)...”
บทความของครูมนตรี ตราโมท ที่อ้างอิงไว้ข้างต้นนี้ ทำให้เราได้รู้ว่าวิวัฒนาการของวงมโหรีว่ามีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยเป็นการรวมเอาวงบรรเลงพิณและขับไม้เข้าด้วยกันก่อนในเบื้องต้น แล้วจึงมีการตัดทอนหรือเพิ่มเติมเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นอีกในยุคต่อๆมา จนเกิดเป็นวงมโหรีที่มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอนในปัจจุบัน
วิวัฒนาการของวงมโหรี
วิวัฒนาการของวงมโหรีสามารถสรุปได้คร่าวๆ ว่า เริ่มจากการรวมเอาวงบรรเลงพิณและวงขับไม้เข้าด้วยกัน เกิดเป็นวงมโหรีเครื่องสี่ แล้วพัฒนาเพิ่มเติมขึ้นเป็นวงมโหรีเครื่องห้า เครื่องหก ตามลำดับ วงมโหรีนั้นเดิมคงเป็นของผู้ชายเล่น แต่ต่อมาคนทั่วไปเกิดชอบฟังกันแพร่หลายทั่วไป ผู้มีบรรดาศักดิ์ซึ่งมีบริวารมากจึงหัดให้ผู้หญิงเล่นมโหรีบ้าง หลังจากนั้นมโหรีก็ กลายเป็นของผู้หญิงเล่นมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี (สมเด็จฯกรมพระยา ดำรงราชานุภาพ : ตำนานเครื่องมโหรี) ดังจะพบได้ตามงานจิตรกรรม ประติมากรรมใน ศิลปะสมัยอยุธยามักเขียนหรือแกะสลักเป็นภาพสตรีกำลังบรรเลงเครื่อง
ดนตรีที่น่าจะ เป็นวงมโหรี
๑. วงมโหรีเครื่องสี่ (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๒. วงมโหรีเครื่องห้า (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๓. วงมโหรีเครื่องหก (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๔. วงมโหรีเครื่องสิบ (สมัยกรุงศรีอยุธยา)
๕. วงมโหรีสมัยกรุงธนบุรี
๖. วงมโหรีสมัยรัชกาลที่ ๑ (วงมโหรีเครื่องแปด)
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีพระราชกำหนดห้ามมิให้ผู้อื่นหัดละครผู้หญิงยกเว้นละครที่เป็นของหลวงซึ่งรู้จักกันว่าละครใน ดังนั้น บรรดาเจ้านายและขุนนางบางส่วนจึงให้บริวารผู้หญิงฝึกหัดมโหรีและผู้ชายฝึกหัดปี่พาทย์ บางส่วนก็ฝึกหัดละครชายล้วน ซึ่งรู้จักกันว่าละครนอก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงประทานพระอธิบายว่า “...มาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เพิ่มเติมเครื่องมโหรีขึ้นอีกหลายอย่าง เอาเครื่องปี่พาทย์เข้าเพิ่มเป็นพื้น เป็นแต่ทำขนาดย่อมลง ให้สมกับผู้หญิงเล่น (และทั้งเพื่อลดเสียงเครื่องตีเพื่อมิให้ดังเกินไป เพื่อจะได้ระดับกลมกลืนกับเครื่องดีด เครื่องสี )…”
วงมโหรีสมัยโบราณ (มโหรีเครื่องสี่)
1.วงมโหรีเครื่องสี่ มีผู้บรรเลงเพียง ๔ คน เท่านั้น คือ
1. คนสีซอสามสาย
2. คนดีดพิณ (กระจับปี่)
3.คนตีทับ (โทน)
4.คนร้องซึงตีกรับพวงด้วย
เครื่องดนตรีที่ทำหน้าที่ดำเนินทำนองคือ ซอสามสายกับพิณหรือกระจับปี่ ทับ ซึ่งในสมัยปัจจุบัน เรียกว่า โทน ทำหน้าที่กำกับจังหวะหน้าทับ เพื่อให้รู้ประโยคและทำนองเพลง ส่วนกรับพวงที่คนร้องตีนั้นกำกับจังหวะย่อย
วงมโหรีเครื่องหก
2.วงมโหรีเครื่องหก ต่อมาวงมโหรีได้เพิ่มเติมเครื่องดนตรีขึ้นมาอีก ๒ อย่าง และเปลี่ยนแปลงไปอย่างหนึ่งเป็นวงมโหรีเครื่องหก เพราะมีผู้บรรเลง ๖ คน คือซอสามสาย พิณหรือกระจับปี่ ทับหรือโทน รำมะนา (เพิ่มใหม่) ตีสอดสลับกับโทนหรือทับ ขลุ่ย (เพิ่มใหม่)ช่วยดำเนินทำนองเพลง และกรับพวงของเดิมเปลี่ยนมาเป็นฉิ่ง
วงมโหรีเครื่องแปด (สมัยรัตนกสินทร์ รัชกาลที่ 1 )
3.วงมโหรีเครื่องแปด ในสมัยรชกาลที่ 1 ได้ประสมเครื่องดนตรีอีก 2 เครื่องเพิ่มขึ้น คือ
1.ระนาดแก้ว
2.ระนาด(เอก)มโหรี ทำให้เสียงกังวาลขึ้น
วงมโหรี(เครื่องเดี่ยว)วงเล็ก
4.วงมโหรี(เครื่องเดี่ยว)วงเล็กวงมโหรีได้มีวิวัฒนาการ เพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงมาโดยลำดับ ครั้งแรกได้เพิ่มฆ้องวงกับระนาดเอก ต่อมาจึงได้เพิ่มซอด้วง ซออู้ และขลุ่ย ส่วนพิณหรือกระจับปี่นั้น เป็นเครื่องดนตรีที่บรรเลงเมื่อยล้าเมื่อพบจะเข้ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรีของมอญเป็นเครื่องดนตรีที่วางบนพื้นราบและดีดเป็นเสียงเช่นเดียวกัน ทั้งนมที่บังคับเสียงเรียงลำดับก็ถี่พอสมควร สะดวกและคล่องแคล่วในการบรรเลงดีกว่าจึงนำจะเข้มาแทนพิณหรือกระจับปี่ ซึ่งนับเป็นวงมโหรีวงเล็กที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ส่วนหน้าที่ในการบรรเลงก็เป็นดังนี้ ซอสามสาย บรรเลงเป็นเสียงยาวโหยหวนบ้าง เก็บถี่ ๆบ้างตามทำนองเพลง และเป็นผู้คลอเสียงร้องด้วย
วงมโหรีเครื่องคู่
5.วงมโหรีเครื่องคู่ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กกลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงมโหรีก็เพิ่มระนาดทุ้มกับฆ้องวงเล็กบ้าง ทั้งเพิ่มซอด้วง ซออู้ ขึ้นเป็นอย่างละ๒ คันจะเข้เพิ่มเป็น ๒ ตัว ขลุ่ยนั้นเดิมมีแต่ขลุ่ยเพียงออก็เพิ่ม ขลุ่ยหลิบ (เลาเล็ก) ขึ้นอีก ๑ เลา เหมือนในวงเครื่องสาย ส่วนซอสามสายก็เพิ่มซอสามสายหลิบ (คันเล็กและเสียงสูงกว่า) อีก ๑ คัน เครื่องประกอบจังหวะคงเดิม เรียกว่า วงมโหรีเครื่องคู่
วงมโหรีเครื่องใหญ่ 6.วงมโหรีเครื่องใหญ่ ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ วงปี่พาทย์ได้เพิ่มระนาดทุ้มกับระนาดเอกเหล็กขึ้นอีก ๒ ราง กลายเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ มโหรีจึงเลียนแบบ โดยเพิ่มระนาดทุ้มเหล็กขึ้นบ้าง ส่วนระนาดเอกเหล็กนั้นเปลี่ยนเป็นสร้างลูกระนาดด้วยทองเหลียง เพราะเทียบให้เสียงสูงไพเราะกว่าเหล็ก เรียกว่าระนาดทองรวมทั้งวงเรียกว่าวงมโหรีเครื่องใหญ่ ซึ่งได้ถือเป็นแบบปฏิบัติใช้บรรเลงมาจนปัจจุบันนี้ บรรดาเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่วงมโหรีได้เลียนแบบมาจากวงปี่พาทย์ คือ ระนาดเอกระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก (เป็นระนาดทอง) ระนาดทุ้มเหล็ก (บางวงทำด้วยทองเหลืองเรียกว่า ระนาดทุ้มทองก็มี) ฆ้องวงใหญ่ และฆ้องวงเล็กนั้น ทุกสิ่งจะต้องย่อขนาดลดลงให้เล็กเพราะสมัยโบราณผู้บรรเลงมโหรีมีแต่สตรีทั้งนั้น จึงต้องลดขนาดลงให้พอเหมาะแก่กำลัง อีกประการหนึ่งการลดขนาดเครื่องตีเหล่านี้ลงก็เพื่อให้เสียงดังสมดุลกับเครื่องดนตรีประเภทดีดสี มิฉะนั้นเสียงจะกลบพวกเครื่องสายหมด
แบบทดสอบหลังเรียน
https://docs.google.com/forms/d/16Ez1Cb3IVtfwUp7AICvIuXBYmBtvEJevFGEsNl2lEX8/edit
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น