https://www.youtube.com/watch?v=k0m6MTpLTl4
อิมเพรสชั่นนิสม์และการกำเนิด Modern Art
10 ศิลปินเอกของโลก
โบสถ์ Sistine
ภาพวาดปูนเปียก(Fresco )
การวาดภาพเฟรสโก (Fresco ) วิธีการวาดภาพสีน้ำบนปูนปลาสเตอร์ที่เพิ่งทาใหม่บนพื้นผิวผนัง สีซึ่งทำโดยการบดผงสีแห้งในน้ำบริสุทธิ์ให้แห้งและตั้งด้วยปูนปลาสเตอร์เพื่อให้กลายเป็นส่วนถาวรของผนัง การวาดภาพเฟรสโกเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำภาพจิตรกรรมฝาผนังเนื่องจากให้รูปแบบที่เป็นอนุสาวรีย์มีความทนทานและมีพื้นผิวด้านเป็นเทคนิคที่ทนทานที่สุดและประกอบด้วยกระบวนการต่อไปนี้ ปูนปลาสเตอร์ที่เตรียมไว้เป็นพิเศษสามชั้นต่อเนื่องกันทรายและบางครั้งฝุ่นหินอ่อนจะถูกเกาะติดกับผนัง ใช้เสื้อโค้ทหยาบสองตัวแรกและอนุญาตให้ตั้งค่า (แห้งและแข็งตัว) ในระหว่างนี้ศิลปินผู้สร้างการ์ตูนเต็มรูปแบบ (การวาดภาพเตรียมการ) ของภาพที่จะวาดได้โอนโครงร่างของการออกแบบลงบนผนังจากการลอกลายที่ทำจากการ์ตูน สุดท้ายเคลือบเรียบ (intonaco ) ของปูนปลาสเตอร์จะถูกเหยียบลงบนผนังให้มากที่สุดเท่าที่จะทาสีได้ในครั้งเดียว ขอบเขตของพื้นที่นี้ถูก จำกัด อย่างระมัดระวังตามเส้นชั้นความสูงเพื่อไม่ให้ขอบหรือรอยต่อของแต่ละส่วนที่ต่อเนื่องของการฉาบปูนสดไม่สามารถมองเห็นได้ ส่วนเหล่านี้เรียกว่าgiornateซึ่งเป็น "งานประจำวัน" จากนั้นการลอกลายจะถูกยึดไว้กับอินโทนาโคสดและวางเรียงรายอย่างระมัดระวังด้วยส่วนที่อยู่ติดกันของผนังทาสีและรูปทรงที่เกี่ยวข้องและเส้นภายในจะถูกลากลงบนปูนปลาสเตอร์สด ภาพวาดที่จาง ๆ แต่ถูกต้องนี้ทำหน้าที่เป็นแนวทางในการวาดภาพด้วยสีอินโทนาโคที่เตรียมอย่างถูกต้องจะเก็บความชื้นไว้ได้นานหลายชั่วโมง เมื่อจิตรกรเจือจางสีของเขาด้วยน้ำและใช้พู่กันกับปูนปลาสเตอร์สีจะซึมลงบนพื้นผิวและเมื่อผนังแห้งและเซ็ตตัวอนุภาคเม็ดสีจะถูกผูกหรือประสานพร้อมกับปูนขาวและอนุภาคทราย สิ่งนี้ช่วยให้สีมีความคงทนและทนทานต่อการเสื่อมสภาพได้ดีเนื่องจากเป็นส่วนสำคัญของพื้นผิวผนังแทนที่จะเป็นชั้นสีที่ซ้อนทับ ขนาดกลางของปูนเปียกทำให้ต้องใช้ทักษะทางเทคนิคของจิตรกรอย่างมากเนื่องจากเขาต้องทำงานให้เร็ว (ในขณะที่ปูนปลาสเตอร์เปียก) แต่ไม่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดโดยการทาสีทับได้ ต้องทาด้วยปูนปลาสเตอร์ใหม่หรือใช้วิธี secco
ต้นกำเนิดของภาพวาดปูนเปียกไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ถูกใช้ในช่วงต้นของอารยธรรมมิโนอัน (ที่Knossosบนเกาะครีต) และโดยชาวโรมันโบราณ (ที่ปอมเปอี ) ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาอิตาลีเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของการวาดภาพปูนเปียกดังที่เห็นในผลงานของCimabue , Giotto , Masaccio , Fra Angelico , Correggioซึ่งชื่นชอบคำขวัญใน su ("จากด้านล่างสู่ด้านบน") _ เทคนิค - และจิตรกรอื่น ๆ อีกมากมายจาก ปลายศตวรรษที่ 13 ถึงกลางศตวรรษที่ 16 ภาพวาดของMichelangeloในSistine ChapelและRaphaelภาพจิตรกรรมฝาผนังสแตนซาในวาติกันเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีชื่อเสียงที่สุด โดยช่วงกลางศตวรรษที่ 16 แต่การใช้กลางแจ้งได้ส่วนใหญ่ถูกแทนที่ด้วยภาพวาดสีน้ำมัน เทคนิคนี้เป็นเวลาสั้น ๆ ฟื้นขึ้นมาในศตวรรษที่ 20 โดยดิเอโกริเวร่าและเม็กซิกัน muralists อื่น ๆ เช่นเดียวกับ ฟรานเชสเคล
บทความ โดย สุทัศน์ ยกส้าน
Gustav Klimt คือจิตรกรชาวออสเตรีย ผู้บุกเบิกศิลปะยุคใหม่ที่เน้นความมีเสน่ห์ เร่าร้อนของสตรี
Klimt เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1862 ที่เมือง Baumgarten ใกล้กรุงเวียนนาในออสเตรียเป็นบุตรชายคนที่ 2 ของครอบครัวที่มีทายาท 7 คน บิดาเป็นช่างแกะสลัก
ชีวิตในวัยเด็กของ Klimt ลำบากมากเพราะครอบครัวยากจนและการจ้างงานในสมัยนั้นมีน้อย เมื่ออายุ 14 ปี Klimt ได้เข้าศึกษาที่ Vienna School of Arts and Crafts เป็นเวลา 7 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษา Klimt กับพี่ชายและเพื่อนได้รับงานตกแต่งเพดานและผนังของพิพิธภัณฑ์ ทั้งในออสเตรียและต่างประเทศ เช่นที่ ยูโกสลาเวีย เชโกสโลวาเกีย และเยอรมนี
เมื่ออายุ 26 ปี Klimt ได้รับเหรียญ Golden Order of Merit จากจักรพรรดิ Franz Josef ที่ 1 แห่งออสเตรียในฐานะผู้มีผลงานศิลปะดีเยี่ยม และได้รับเลือกเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์แห่งมหาวิทยาลัยมิวนิกและมหาวิทยาลัยเวียนนาด้วย
ในปี 1892 บิดาและพี่ชายของ Klimt เสียชีวิต เหตุการณ์นี้ทำให้ Klimt เสียใจและรู้สึกกังวลมาก เพราะต้องรับผิดชอบเป็นผู้นำครอบครัวแทนบิดาและรับภาระเลี้ยงดูครอบครัวของพี่ชายด้วย อาการซึมเศร้าทำให้ Klimt หมดความรู้สึกต้องการวาดภาพเป็นเวลานานถึง 5 ปี
จนกระทั่งอายุ 35 ปีจึงเริ่มหยิบแปรงวาดภาพอีก เมื่อ Klimt ได้รู้จัก Emilie Flöge ทั้งๆ ที่ Flöge รู้ดีว่า Klimt มีความสัมพันธ์กับสตรีอื่นอีกหลายคน แต่เธอก็ยินดีเป็นทั้งนางแบบ ชู้รัก และเพื่อนรักของ Klimt จนตลอดชีวิตของเขา
ในช่วงเวลานี้ ลีลาการวาดภาพของ Klimt ได้เปลี่ยนไปมาก หลังจากที่ได้เห็นภาพแนว Impressionism, Realism, Naturalism, Pointillism และ Symbolism ประสบการณ์เหล่านี้ ได้กระตุ้นให้ Klimt คิดสร้างศิลปะรูปแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวออสเตรียโดยเฉพาะ
หลังจากนั้นไม่นานคนออสเตรียก็เริ่มรู้จักภาพวาดสไตล์ Art Nouveau Klimt เป็นคนที่มีความรักชาติสูง ในปี 1897 เขาจึงจัดตั้งสมาคม Vienna Secession เพื่อรวบรวมภาพของศิลปินมือใหม่ที่เป็นชาวออสเตรียมาจัดแสดงและขาย รวมถึงดูแลผลประโยชน์ของบรรดาสมาชิก
โดยพยายามเชื่อมโยงจิตรกรกับประชาชนให้เข้าใจกันและกัน เมื่อรัฐบาลสนับสนุนโดยการมอบที่ดินให้จัดสร้างหอศิลป์ และสมาคมได้ออกนิตยสาร สมาคมจึงมีอิทธิพลและเกียรติมาก ผลงานนี้เองที่ทำให้ Klimt ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมคนแรก
ในขณะเดียวกัน Klimt ก็รับงานวาดภาพประดับเพดานห้องประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเวียนนาด้วย แต่ผลงานของเขาซื้อ Philosophy, Medicine and Jurisprudence ถูกมหาวิทยาลัยปฏิเสธที่จะรับเพราะมีส่วนที่สื่อความ “อนาจาร” ของสตรีเปลือย Klimt จึงลาออกจากการเป็นสมาชิกสมาคม
แล้วเริ่มชีวิตวาดภาพอย่างอิสระโดยใช้สีฝุ่น ทองคำเปลวและเงินเปลวในภาพ และจัดภาพในลักษณะที่ช่องว่างระหว่างรูปวาดมีความสำคัญพอๆ กับรูป อีกทั้งสีที่ใช้ก็เข้มและรุนแรงขึ้นดังภาพ Nuda Veritas ที่ Klimt วาดเมื่ออายุ 37 ปี เป็นภาพสตรีเปลือย ผมแดง ยืนถือกระจกส่องความจริง
เมื่ออายุ 45 ปี Klimt ได้รับเลือกเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบัน Vienna และ Munich Academy และเริ่มได้รับการยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อจิตรกรออสเตรียรุ่นใหม่ๆ เช่น Kokoschka และ Schiele
Klimt ล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม และเสียชีวิตด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1917 ที่กรุงเวียนนา สิริอายุ 46 ปี
ทุกวันนี้โลกรู้จักภาพคนในแบบ mosaic ของ Klimt ดีพอๆ กับสูตร E=mc2 ของ Einstein และเพลงของ Beethoven โดยเฉพาะภาพ Judith and the Head of Holofernes ภาพ Portrait of Adele Bloch-Bauer I และภาพ The Kiss
สำหรับภาพ Adele Bloch-Bauer I นั้นถือกันว่าเป็นภาพ Mona Lisa ของออสเตรีย ส่วนภาพ The Kiss ที่ Klimt วาดในปี 1909 ก็ได้รับความนิยมนำไปติดประดับในหอพักนิสิต มหาวิทยาลัยในอเมริกายิ่งกว่าภาพ Sunflowers ของ van Gogh เสียอีก ในปี 2003 ภาพ Landhaus am Attersee ของ Klimt ถูกนำออกขายได้ในราคา 29.1 ล้านดอลลาร์
และเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.2006 ภาพ Portrait of Adele Bloch-Bauer I ที่ Klimt วาดในปี 1907 ซึ่งเป็นภาพสตรีสวมเครื่องประดับทองคำและเพชรพลอยในลักษณะของราชินีอียิปต์ในอิริยาบถยืน และเตรียมตัวจะลงประทับในโลงศพ ได้ถูกนำออกประมูลขายได้ในราคา 135 ล้านดอลลาร์ (5,100 ล้านบาท) ราคานี้จึงทำให้เป็นภาพที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
และเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ปี 2005 หนังสือรวบรวมภาพของ Klimt ที่หนัก 5 กิโลกรัมก็ถูกสั่งจองหมดก่อนที่โรงพิมพ์จะพิมพ์เสียอีก สำหรับงานแสดงผลงานชอง Klimt ที่ Neue Galerie ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดตั้งแต่ 12 ตุลาคม ปี 2005 จนถึง 30 มิถุนายน ปี 2006 สิถิติการเข้าชมได้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่แกลเลอรีเปิดแสดงมา 7 ปี ไม่มีศิลปินคนใดดึงดูดผู้คนได้มากเท่า Klimt เลย
เหตุใดผู้คนจึงหลงใหล Klimt คำตอบคือ Klimt เป็นจิตรกรเอตทัคคะผู้ถนัดการแสดงความงามที่เต็มด้วยเสน่ห์และความลึกลับของสตรี ภาพของ Klimt ไม่เป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางครั้งได้เน้นคุณลักษณะของสตรีบางประการเกินจริง และบางครั้งก็เน้นน้อยเกินไป ภาพที่มีชื่อเสียงมักมีฉากหลังเป็นลวดลายคล้ายปีกผีเสื้อหรือหางนกยูง
นอกจากนี้ภาพสตรีของ Klimt มักจะสื่อความรู้สึกของการมีเสรีภาพในการแสวงหากามรส ทั้งนี้เพราะ Klimt ชอบให้นางแบบนั่งนาน และนั่งโพสหลายครั้งในท่ายั่วยวนตามที่ Klimt กำหนด นางแบบหลายคนเป็นโสเภณีและสาวไฮโซ โอกาสเช่นนี้ทำให้เหล่าเธอสามารถมีสัมพันธ์กับ Klimt ได้ จนเป็นที่เลื่องลือว่า Klimt มีลูกถึง 14 คน
ขณะยังมีชีวิตอยู่และหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว ศิลปะของ Klimt มีคนชื่นชอบมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครเคยสนใจศิลปะของออสเตรียเลย จนเมื่อ Klimt นำ Art Nouveau ออกสู่สายตาชาวโลกเมื่อ 100 ปีก่อน ทุกคนก็ตระหนักว่าศิลปะสมัยใหม่แห่งเวียนนาหมายถึงภาพที่แสดงเสรีภาพทางเพศของสตรี
ความสนใจในภาพของ Klimt ได้พุ่งสูงโดยเฉพาะราว 4 ปีก่อนนี้ เมื่อพิพิธภัณฑ์ Belvedere ในเวียนนาถูกศาลสหรัฐฯ ตัดสินให้คืนภาพ 5 ภาพของ Klimt แก่ทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมายของมหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวออสเตรียเชื้อสายเชโกสโลวาเกียชื่อ Ferdinand Bloch-Bauer ภาพทั้ง 5 ภาพได้แก่ Beech woods (1903), Apple Tree (1911-1912), Houses in Unterach on the attersee (1906), Adele Bloch-Bauer I (1907) และภาพ Adele Bloch-Bauer II (1912)
โดยทายาทผู้นั้นคือ Maria Altmann ซึ่งพำนักอยู่ที่ลอสแองเจลิสในสหรัฐอเมริกา เพราะ Altmann อ้างว่า เมื่อ Ferdinand Bloch-Bauer หนีภัยนาซีออกจากออสเตรียในปี 1938 และเสียชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 1945 นั้น Altmann
มีหลักฐานว่าได้ยกตึกอาคารและทุกสิ่งทุกอย่างในอาคารให้เธอกับพี่และน้องของเธอก่อนจะหนีไป โยไม่มีเวลาจัดการกับภาพที่สะสมไว้ ทำให้ภาพเหล่านี้ถูกทหารนาซีปล้นไปจากคฤหาสน์ เมื่อสงครามโลกสิ้นสุด รัฐบาลออสเตรียได้ภาพที่ถูกยึดไปกลับคืน
จากนั้น Ronald Lauder ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ Neue Galerie ได้พยายามช่วย Altmann ต่อสู้นำภาพที่ Klimt วาดมาคืนให้ Altmann ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่า 20 ปี และเมื่อเขาทำได้สำเร็จ Lauder ได้ซื้อภาพ Adele Bloch-Bauer I จาก Altmann ไปในราคา 135 ล้านเหรียญ
ณ วันนี้ ภาพของ Klimt อีกภาพหนึ่งที่ชื่อ Blooming Meadow ซึ่ง Leonard Lauder ผู้เป็นพี่ชายของ Ronald Lauder ได้ซื้อไว้ในปี 1983 ก็ถูก Georges Jorisch ผู้เป็นหลานของ Amalie Redlich อ้างว่า ภาพดังกล่าวได้ถูกปล้นไปจาก Amalie เมื่อทหารนาซีส่งเธอไปเข้าค่ายกักกันในโปแลนด์ และเธอได้เสียชีวิตที่นั่น
ทั้งๆ ที่ Jorisch มีหลักฐานต่างๆ สนับสนุน แต่ Leonard Lauder ได้ปฏิเสธข้ออ้างทุกประเด็นโดยให้เหตุผลว่า เขามีหลักฐานการเป็นเจ้าของภาพที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ การฟ้องร้องและการต่อสู้เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะรู้ผลสุดท้าย
จะอย่างไรก็ตามเมื่อ Neue Galerie จัดงานแสดงภาพของ Klimt กว่า 120 ภาพในปี 2007 ภาพทั้งหมดเป็นภาพผู้หญิง เช่น ภาพเลสเบียนสองคนนอนเปลือยกายกอดกัน ภาพผู้หญิงกำลังสำเร็จความใคร่ ภาพสตรีมีครรภ์ และภาพสตรีที่มีฐานะสังคมเพราะได้สามีรวย
เช่น ภาพ Adele Bloch-Bauer I หญิงผู้มีสามีชื่อ Ferdinand Bloch-Bauer และขณะนั่งเป็นแบบเธอได้ลอบมีสัมพันธ์กับ Klimt แต่เมื่อ Klimt วาดภาพ Adele Bloch-Bauer II ในปี 1912 เสน่ห์ของเธอได้ลดลงไปมากแล้ว และนั่นก็หมายความว่าสัมพันธ์สวาทระหว่างคนทั้งสองก็ได้จางสิ้นไปแล้วด้วย
ถึงกระนั้น ภาพ Adele Bloch-Bauer I ก็ยังร่ายมนตราให้ผู้คนมาเยือน Neue Galerie ต่อไป เพราะเมื่อภาพถูกนำออกแสดงในสัปดาห์แรกของงานสถิติผู้เข้าชมได้เพิ่มขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น